จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คริสต์มาส

คริสต์มาส (อังกฤษ: Christmas; อังกฤษโบราณ: Crīstesmæsse, หมายถึง "มิสซาของพระคริสต์") หรือ วันสมโภชพระคริสตสมภพ (อังกฤษ: Feast of the Nativity) จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู มักจัดตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันหยุดทางศาสนาและวัฒนธรรมโดยประชากรโลกหลายพันล้านคน วันดังกล่าวเน้นไปยังปีพิธีกรรมของคริสต์ศาสนิกชนเป็นสำคัญ วันคริสต์มาสเป็นวันปิดเทศกาลเตรียมการรับเสด็จ (Advent) และเริ่มต้นเทศกาลพระคริสตสมภพ (Christmastide) นานสิบสองวัน คริสต์มาสเป็นวันหยุดราชการในหลายประเทศทั่วโลก และผู้ที่มิได้นับถือคริสต์เฉลิมฉลองมากขึ้น และเป็นส่วนสำคัญในคริสต์มาสและฤดูวันหยุด
วันที่พระเยซูประสูติโดยแท้จริงนั้น ซึ่งนักประวัติศาสตร์คะเนระหว่าง 2 ปีก่อนคริสตกาล และ ค.ศ. 7 ไม่เป็นที่ทราบ ในช่วงต้นถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 4 โบสถ์คริสต์ศาสนิกชนตะวันตกกำหนดวันคริสต์มาสครั้งแรกไว้ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม วันที่ดังกล่าวทางตะวันออกได้รับไปภายหลังด้วยเช่นกัน มีการพัฒนาทฤษฎีเพื่ออธิบายว่าทางเลือกนั้นรวมถึง เป็นวันเก้าเดือนพอดีหลังการเฉลิมฉลองนางมารีย์รับการประสูติของพระเยซูของคริสต์ศาสนิกชน หรือถูกเลือกให้เกิดขึ้นพร้อมกับวันเหมายันของโรมัน หรือเทศกาลฤดูหนาวเพเกินโบราณบางอย่าง
วันการเฉลิมฉลองของศาสนาคริสต์ตะวันออกแต่เดิม คือ วันที่ 6 มกราคม โดยเชื่อมโยงกับวันฉลองการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ (Epiphany) และวันดังกล่าวยังเป็นวันเฉลิมฉลองสำหรับศาสนจักรอะโพสโตลิคอาร์เมเนียและในอาร์เมเนีย ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ จนถึง ค.ศ. 2011 วันที่ระหว่างปฏิทินเกรโกเรียนสมัยใหม่และปฏิทินจูเลียนที่เก่ากว่าต่างกันอยู่ 13 วัน ผู้ที่ยังใช้ปฏิทินจูเลียนหรือเทียบเท่าต่อไปจึงเฉลิมฉลองวันที่ 25 ธันวาคมและ 6 มกราคมโดยประชากรโลกส่วนใหญ่ ในวันที่ 7 มกราคมและ 19 มกราคม ด้วยเหตุนี้ เอธิโอเปีย รัสเซีย ยูเครนและมาเซโดเนียจึงเฉลิมฉลองคริสต์มาส ทั้งที่เป็นวันสมโภชขงคริสต์ศาสนิกชนและที่เป็นวันหยุดราชการ โดยในปฏิทินเกรโกเรียนคือ วันที่ 7 มกราคม
ประเพณีการเฉลิมฉลองที่ได้รับความนิยมที่เกี่ยวเนื่องในหลายประเทศมีการผสมผสานธีมและกำเนิดก่อนคริสเตียน คริสเตียนและฆราวาส ประเพณีสมัยใหม่ที่ได้รับความนิยมในวันดังกล่าวมีการให้ของขวัญ เพลงคริสต์มาสและเพลงเทศกาล การแลกเปลี่ยนบัตรคริสต์มาส การตกแต่งโบสถ์ มื้อพิเศษ และการจัดแสดงการประดับตกแต่งหลายอย่าง รวมทั้งต้นคริสต์มาส แสงไฟ ฉากการประสูติของพระเยซู มาลัย พวงหรีด มิสเซิลโทและฮอลลี นอกเหนือจากนั้น บุคคลที่เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดและบ่อยครั้งแทนกันได้หลายคน เช่น ซานตาคลอส ฟาเธอร์คริสต์มาส เซนต์นิโคลัส และคริส คริงเกิล ตลอดจนชื่ออื่นทั้งหลาย เกี่ยวข้องกับการนำของขวัญไปให้แก่เด็กระหว่างเทศกาลคริสต์มาส และมีประเพณีและตำนานเป็นของตนเอง เพราะการให้ของขวัญและอีกหลายแง่มุมของเทศกาลคริสต์มาสที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งคริสต์ศาสนิกชนและผู้ที่มิใช่คริสต์ศาสนิกชน วันคริสต์มาสจึงเป็นเหตุการณ์สำคัญและช่วงลดราคาหลักสำหรับผู้ค้าปลีกและธุรกิจ ผลกระทบทางเศรษฐกิจของคริสต์มาสเป็นปัจจัยซึ่งเติบโตขึ้นคงที่ตลอดศตวรรษที่ผ่านมาในหลายภูมิภาคทั่วโลก


องค์ประกอบในงานคริสต์มาส

 ซานตาครอส
เป็นสิ่งแรกๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาครอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี
 

          นักบุญนิโคลัส นั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม เอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา

          ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง



ถุงเท้า           จากที่นักบุญนิโคลัสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง

ต้นคริสต์มาส
          นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิ้ลและขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลากสีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก
          โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย

          ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส



 ดาว
          ดาว ในความหมายของชาวคริสต์เตียน หมายถึงการแสดงออกที่ดีของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า "The bright and morning star" มีความหมายพิเศษเหมือนกับว่า ดวงดาวเหล่านั้นได้แบ่งที่อยู่กับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกำแพงอะไรขวางกั้นระหว่างพื้นผิวโลกด้วยก็ตาม

เครื่องประดับและแอปเปิ้ล                          

          ในบางแห่งเชื่อว่า ลำต้นของแอปเปิ้ล มองดูคล้ายกับต้นไม้ในสรวงสวรรค์ จึงมีการนำเอาแอปเปิ้ลมาประดับตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส ส่วนเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่ตกแต่งต้นคริสต์มาสนั้นเป็นงานศิลปะที่จำลองจากผลไม้ และที่มีสีสันสดใสนั้นเพื่อให้เกิดความรื่นเริงในบ้าน อีกทั้งแสงระยิบระยับที่สะท้อนไปมา ยังดูสวยงามคล้ายแสงเทียนและแสงไฟ


          ต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงของต้นฮอลลี่นั้นหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฏหนามที่พวกชาวทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์


 ดอกไม้คริสต์มาส หรือ Poinsettia

สีประจำวันคริสต์มาส
สีที่เกี่ยวข้องในวันคริสต์มาสประกอบด้วย          สีแดง : เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาครอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี

          สีเขียว : เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาตื หมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง

          สีขาว : เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฎบนเสื้อคลุมนางฟ้า, เคราและชายเสื้อของซานตาครอส

          สีทอง : เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว


การทำมิสซาเที่ยงคืน          การถวายมิสซานี้เกิดขึ้นหลังจากพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) ในปีนั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ เมื่อไปถึงตรงกับเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเดินทางกลับมาที่พักได้เวลาตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ยังมีสัตบุรุษหลายคนไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วยในตอนแรก พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ในโอกาสวันคริสต์มาส
 เทียนและพวงมาลัย
          เสียงระฆังในวันคริสต์มาสคือการเฉลิมฉลองให้กับการประสูติของพระพุทธเจ้า โดยมีตำนานเล่าว่า มีการตีระฆังช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสเพื่อลดพลังความมืด และบ่งบอกถึงความตายของปีศาจ ก่อนที่พระเยซูผู้ที่จะมาช่วยไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น และระฆังนี้มีเสียงดังกังวาลนานนับชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาเที่ยงคืนเสียงระฆังนี้จะกลับกลายมาเป็นเสียงแห่งความสุข


         พวงมาลัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยก่อนใช้หมายถึงชัยชนะ แต่สำหรับการแขวนพวงมาลัยในวันคริสต์มาสนั้น หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า ซึ่งธรรมเนียมนี้ เกิดจากกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมันได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเพื่อเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะจุดเทียนหนึ่งเล่ม สวดภาวนา และร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกันเป็นเวลา 4 อาทิตย์ก่อนถึงวันคริสต์มาส ประเพณีเป็นที่นิยมอยางมากในประเทศอเมริกา ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยนำเทียน 1 เล่มนั้นมาจุดไว้ตรงกลางพวงมาลัยสีเขียว และนำไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ส่วนเหตุผลที่พวงมาลัยมีสีเขียวนั้น เป็นเพราะมีการเชื่อกันว่าสีเขียวจะช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่ว ร้ายได้

 ระฆังวันคริสต์มาส

          ตำนานของดอก Poinsettia ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวันคริสต์มาส มาจากเรื่องราวของเด็กหญิงจนๆ คนหนึ่ง ที่ต้องการหาของขวัญไปมอบให้พระแม่มารีในวันคริสต์มาสอีฟ แต่เนื่องจากเธอไม่มีสิ่งของใดๆ ติดตัว จึงเดินทางไปตัวเปล่า และระหว่างทางเธอได้พบกับนางฟ้าที่บอกให้เธอเก็บเมล็ดพืชไว้ ต่อมาเมล็ดพืชนั้นกลับเจริญเติบโตเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีเลือดหมูสดใส ซึ่งก็คือดอก Poinsettia ตั้งแต่นั้นดอก Poinsettia ก็ได้รับความนิยมใช้ประดับประดาบ้านในงานคริสต์มาส


 ดอกคริสต์มาส Christmas Rose          มีต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ลักษณะเป็นดอกสีขาว และมักออกดอกในช่วงฤดูหนาว ตำนานของดอกคริสต์มาสนี้มีอยู่ว่า ในช่วงที่พระเยซูประสูติ มีผู้รอบรู้ 3 คน กับคนเลี้ยงแกะเดินทางมาพบพระเยซู ระหว่างทางพวกเขาพบกับ มาเดลอน เด็กหญิงที่เลี้ยงแกะคนหนึ่ง เมื่อเธอทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาเพื่อมอบของขวัญให้พระเยซู มาเดลอนก็เสียใจที่ไม่มีของขวัญใดไปมอบให้พระเยซูบ้าง ก่อนที่นางฟ้าที่เฝ้ามองเธออยู่จะเกิดความเห็นใจจึงร่ายมนตร์เสกดอกไม้สีขาวน่ารักและมีสีชมพูอยู่ตรงปลายกลีบให้เธอ และดอกไม้นั้นคือ ดอกคริสต์มาสนั่นเอง


 เพลงวันคริสต์มาส          เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 แต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส มีเนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่

          เพลงคริสตมาสแบบใหม่นี้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน เพราะมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night

          ความเป็นมาของเพลงนี้มาจากวันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้องไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปให้เพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั่นเอง และเล่นเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก
 คำอวยพรวันคริสต์มาส          ในวันคริสต์มาสเรามักจะใช้คำอวยพรให้แก่กันและกันว่า Merry X'mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า "สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ และได้จัดให้มีการฉลองเพื่อระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณีนี้ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษที่ 4 และค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป
 สีประจำวันคริสต์มาสสีที่เกี่ยวข้องในวันคริสต์มาสประกอบด้วย          สีแดง : เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาครอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี

          สีเขียว : เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาตื หมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง

          สีขาว : เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฎบนเสื้อคลุมนางฟ้า, เคราและชายเสื้อของซานตาครอส

          สีทอง : เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว


การทำมิสซาเที่ยงคืน          การถวายมิสซานี้เกิดขึ้นหลังจากพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) ในปีนั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ เมื่อไปถึงตรงกับเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเดินทางกลับมาที่พักได้เวลาตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ยังมีสัตบุรุษหลายคนไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วยในตอนแรก พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ในโอกาสวันคริสต์มาสเทียนและพวงมาลัย       พวงมาลัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยก่อนใช้หมายถึงชัยชนะ แต่สำหรับการแขวนพวงมาลัยในวันคริสต์มาสนั้น หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า ซึ่งธรรมเนียมนี้ เกิดจากกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมันได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเพื่อเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะจุดเทียนหนึ่งเล่ม สวดภาวนา และร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกันเป็นเวลา 4 อาทิตย์ก่อนถึงวันคริสต์มาส ประเพณีเป็นที่นิยมอยางมากในประเทศอเมริกา ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยนำเทียน 1 เล่มนั้นมาจุดไว้ตรงกลางพวงมาลัยสีเขียว และนำไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ส่วนเหตุผลที่พวงมาลัยมีสีเขียวนั้น เป็นเพราะมีการเชื่อกันว่าสีเขียวจะช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่ว ร้ายได้       เสียงระฆังในวันคริสต์มาสคือการเฉลิมฉลองให้กับการประสูติของพระพุทธเจ้า โดยมีตำนานเล่าว่า มีการตีระฆังช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสเพื่อลดพลังความมืด และบ่งบอกถึงความตายของปีศาจ ก่อนที่พระเยซูผู้ที่จะมาช่วยไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น และระฆังนี้มีเสียงดังกังวาลนานนับชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาเที่ยงคืนเสียงระฆังนี้จะกลับกลายมาเป็นเสียงแห่งความสุข

ระฆังวันคริสต์มาส
ดาว          ดาว ในความหมายของชาวคริสต์เตียน หมายถึงการแสดงออกที่ดีของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า "The bright and morning star" มีความหมายพิเศษเหมือนกับว่า ดวงดาวเหล่านั้นได้แบ่งที่อยู่กับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกำแพงอะไรขวางกั้นระหว่างพื้นผิวโลกด้วยก็ตาม

เครื่องประดับและแอปเปิ้ล                          

          ในบางแห่งเชื่อว่า ลำต้นของแอปเปิ้ล มองดูคล้ายกับต้นไม้ในสรวงสวรรค์ จึงมีการนำเอาแอปเปิ้ลมาประดับตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส ส่วนเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่ตกแต่งต้นคริสต์มาสนั้นเป็นงานศิลปะที่จำลองจากผลไม้ และที่มีสีสันสดใสนั้นเพื่อให้เกิดความรื่นเริงในบ้าน อีกทั้งแสงระยิบระยับที่สะท้อนไปมา ยังดูสวยงามคล้ายแสงเทียนและแสงไฟ
ของขวัญวันคริสต์มาส
                    
          การแลกเปลี่ยนของขวัญในวันคริสต์มาสนั้น เริ่มต้นจากเมือง Saturnalia ในช่วงยุคโรมัน ต่อมาชาวคริสต์รับประเพณีนี้เข้ามา ด้วยความเชื่อว่า การให้ของขวัญนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับของขวัญประเภททอง, ยางสนที่มีกลิ่นหอม และ ยางไม้หอม ซึ่งพวกนักเวทย์จากตะวันออกที่เดินทางมาคารวะพระเยซูคริสต์ นำมาให้ตอนที่ท่านประสูติ

          ทั้งหมดนั้นก็คือการเฉลิมฉลองให้กับพระเยซู ที่เกิดมาเพื่อชำระบาปให้แก่ชาวคริสต์ทั้งหลาย และเป็นเทศกาลที่นำความสุข สนุกสนาน มาสู่หมู่มวลมนุษย์

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

10 ขั้นตอนง่ายๆในการตรวจสอบiPhone ก่อนซื้อ (เอามาฝากเล็กๆ น้อยๆ)

การที่เราได้จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้า นั้นย่อมเป็นธรรมดาที่เราจะต้องการของที่มีสภาพสมบูรณ์ 100% แต่หลายครั้งที่สินค้านั้นไม่ได้ตรงตามที่เราคาดหวังใว้ iPhone ก็เช่นกัน บางครั้งตัวเครื่องก็อาจมีตำหนิ หรือชำรุดมาตั้งแต่โรงงาน ปัญหาก็คือ เราจะทราบได้อย่างไรว่า iPhone เครื่องที่เราซื้อนั้นสมบูรณ์ที่สุด

หลายๆคนอาจจะเกิดคำถามในใจว่า "แล้วเราจะตรวจสอบเครื่องยังไงดีล่ะ ?"


วันนี้ทีมงานจะมาแนะนำขั้นตอนที่จำง่ายๆ 10 ขั้นตอนที่สามารถนำไปใช้งานได้จริงกันครับ
  1. กล่องต้องมีการห่อพลาสติกรอบกล่องอย่างดี ไม่มีรอยแกะมาก่อน
  2. เมื่อแกะกล่องครั้งแรก ตัวเครื่องต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีรอยขีดข่วนใด ๆ
    ไม่มีรอยนิ้วมือ และมีฟิล์มพลาสติกใสประกบอยู่ทั้งสองด้านของเครื่อง
  3. ตรวจสอบ Serial Number (S/N) ที่อยู่ใต้กล่อง ว่าตรงกับในเครื่องหรือไม่
    ( การดู Serial Number ในเครื่อง ให้ไปที่เมนู Settings > General > About หรือ ตั้งค่า > ทั่วไป > เกี่ยวกับ )
    และดู Serial Number ที่ระบุไว้บนถาดซิม ว่าตรงกันทั้งหมดทั้ง 3 จุด
  4. เมื่อใส่ซิมการ์ดเข้าไป ต้องมีสัญญาณโทรศัพท์ขึ้นปกติ
    พร้อมทั้งทดสอบลำโพงและไมค์โครโฟนด้วยการโทรออก
    ( หากไม่สะดวกโทร ให้เข้าไปที่ Voice Memos จากนั้นกดบันทึกเสียง แล้วกดฟังโดยเอาลำโพงสนทนามาแนบหูก็ได้ )
  5. ตัวเครื่องต้องสามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้ ( ในเมนู Settings > Wi-Fi ) รวมถึงสามารถเปิดใช้งาน Bluetooth ได้ ( ในเมนู Settings > General > Bluetooth )
  6. ปุ่มกด ของเครื่องต้องอยู่ในสภาพที่แน่นทุกปุ่ม อาจจะมีขยับได้บ้างถือว่าเป็นอาการปกติ กดปุ่มต่าง ๆ รวมถึงปุ่ม Home ใต้หน้าจอ หลาย ๆ ครั้ง เพื่อตรวจสอบการตอบสนองของปุ่ม
  7. กล้องหน้าและหลังต้องใช้งานได้ ทดสอบการถ่ายรูปและเปิด Flash ด้านหลังไปพร้อมกัน
  8. หน้าจอสามารถแสดงผลได้สมบูรณ์ ไม่มี Dead Pixel ( จุดบอดของสีบนหน้าจอ )
    หากสามารถต่ออินเทอร์เน็ตได้ ให้เข้าไปที่
    http://iphonedpt.awardspace.com/ เพื่อทดสอบสีต่าง ๆ แต่หากไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ให้แตะโปรแกรม Safari ขึ้นมา เพื่อตรวจหาจุดสีที่เพี้ยนไป บนพื้นหลังสีขาว
  9. ทดสอบการ ตอบสนองของหน้าจอ และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ของเครื่อง โดยการเปิดรูปที่ถ่ายใว้ใน Photos แล้วแตะหน้าจอเพื่อขยับรูป, ใช้สองนิ้วถ่างเข้า-ออกเพื่อตรวจสอบระบบ Multitouch รวมถึงเอียงเครื่องเพื่อตรวสอบเซ็นเซอร์จับความเคลื่อนไหว
  10. ทดลอง เล่นจนพอใจ หากมีข้อสงสัยควรจะสอบถามพนักงานขายอย่างละเอียด หากไม่สามารถหาคำตอบที่แน่ชัดได้ ให้พนักงานที่มีความรู้ด้านนี้มาตอบคำถามแทน

อย่างไรก็ตามในฐานะที่เราเป็น ลูกค้า เราควรตรวจสอบสินค้าให้ดีก่อนที่จะเดินออกจากร้าน เพราะหลังออกจากร้านแล้ว จะถือว่าการซื้อ-ขายเสร็จสมบูรณ์
กรณีเครื่องมีปัญหา จะต้องส่งเคลมเพื่อเปลี่ยนเครื่องใหม่ที่ไม่ใช่เครื่องสำหรับขายแบบปกติ แต่จะเป็นสำหรับเครื่องเคลมโดยเฉพาะแทน

ขอบคุณ..iphone4society.com

ชินจูกุ (Shin-juku)



เขตชินจุกุ (ญี่ปุ่น: 新宿区 Shinjuku-ku ?) เป็น 1 ใน 23 เขตการปกครองพิเศษในโตเกียว เขตชินจุกุคือธุรกิจหลักและศูนย์การบริหารและ การสถานีรถไฟยุ่งที่สุดในโลก และมี ตึกการปกครองนครบาล โตเกียว ศูนย์กลางการบริหารสำหรับ มหานคร โตเกียว และพื้นที่รอบๆ ชินจุกุ ชินจุกุ เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่วัยรุ่นและนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวเป็นย่านที่มีแสงสีของtokyoและได้รับความนิยมและเป็นสถานที่ที่มีของขายมากมาย เช่น เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องปะดับ และร้านอาหารมากมาย ชินจุกุมีนายกเทศมนตรีคือ ฮิโระโกะ นะกะยะมะ
เขตชุมชนในชินจุกุมีประวัติก่อตั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1636






วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สตอกโฮล์ม อีกเมืองเก่าที่สวยงาม


สตอกโฮล์ม (Stockholm) เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศสวีเดน ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลทิศตะวันออกของประเทศสวีเดน มีประชากรในเขตเทศบาลสตอกโฮล์ม 774,000 คน ถ้านับเขตที่อยู่อาศัยโดยรอบทั้งหมดจะมีประชากรประมาณ 1.7 ล้านคนสตอกโฮล์มเป็นที่ตั้งของรัฐบาลสวีเดน และที่ประทับของสมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟ พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันของสวีเดน
ข้อมูลเบื้องต้น : สตอกโฮล์ม ชื่อทางราชการ ราชอาณาจักรสวีเดน พื้นที่ 450,000 ตร.กม. มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปเหนือ ขนาดใกล้เคียงกับประเทศไทย ครึ่งหนึ่งปกคลุมด้วยป่าไม้ มีทะเลสาบหนึ่งแสนแห่งทั่วประเทศ ทำให้พื้นที่เกษตรกรรมเพียงร้อยละ 10 และมีเกาะนับหมื่นเกาะอยู่ตามบริเวณชายฝั่ง เมืองหลวง กรุงสตอกโฮล์ม (Stockholm) เมืองท่า และเมืองอุตสาหกรรมที่สำคัญ คือ โกเธนเบอร์ก (Gothenborg) และมัลเมอ (Malmo) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ ประชากร 9 ล้านคน ( 6 แสนคนเป็นชาวต่างชาติ) ในกรุงสตอกโฮล์มมีประชากร 1.8 ล้านคน ศาสนา รัฐให้อิสรภาพในการนับถือศาสนา แต่ร้อยละ 95 ของชาวสวีดิชนับถือศาสนาคริสต์นิกายลูเธอราน ภาษา ภาษาสวีดิชและภาษาอังกฤษใช้กันอย่างแพร่หลาย ภาษาสวีดิชจัดอยู่ในตระกูลภาษาเยอรมัน (Germanic language) ดังนั้น ชาวสวีเดน ชาวเดนมาร์ก และชาวนอร์เวย์สามารถสื่อสารกันได้ เนื่องจากภาษาใกล้เคียงกัน อากาศ หนาวเย็นปีละประมาณ 8 เดือน อุณหภูมิในฤดูหนาวโดยเฉลี่ยจะต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส และมีหิมะตกพอประมาณ ทางตอนเหนือของสวีเดนมีฤดูหนาวที่ยาวนานและหนาวเย็น ส่วนฤดูร้อนอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 18 องศาเซลเซียส ทางตอนเหนือในเดือน มิ.ย.-ก.ค. จะมีแสงอาทิตย์ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน

กรุงสตอกโฮล์ม (Stockholm) เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศสวีเดน และยังเป็นนครหลวงอันงดงามที่สุดในสแกนดิเนเวีย จนได้รับขนานนามว่า ความงามบนผิวน้ำ (Beauty on Water) หรือราชินีแห่งทะเลบอลติก ประกอบด้วยเกาะใหญ่น้อย 14 เกาะที่โอบล้อมด้วยทะเลบอลติก (Baltic Sea) ทะเลสาบมาลาเร็น (Lake Malaren) ทำให้สตอกโฮล์มเป็นเมืองหลวงที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สตอกโฮล์ม ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลทิศตะวันออกของประเทศสวีเดน มีประชากรในเขตเทศบาลสตอกโฮล์ม 774,000 คน ถ้านับเขตที่อยู่อาศัยโดยรอบทั้งหมดจะมีประชากรประมาณ 1.7 ล้านคน




วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

มารู้จักประเทศฟินแลนด์กันเถอะ

สาธารณรัฐฟินแลนด์ (ฟินแลนด์: Suomen tasavalta; สวีเดน: Republiken Finland) เป็นประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป เขตแดนด้านตะวันตกเฉียงใต้จรดทะเลบอลติก ทางด้านใต้จรดอ่าวฟินแลนด์ ทางตะวันตกจรดอ่าวบอทเนีย ประเทศฟินแลนด์มีชายแดนติดกับประเทศสวีเดน นอร์เวย์ และรัสเซีย สำหรับหมู่เกาะโอลันด์ที่อยู่ห่างจากชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้นั้น อยู่ภายใต้การปกครองของฟินแลนด์ แต่เป็นเขตปกครองตนเอง
ฟินแลนด์มีประชากรเพียง 5 ล้านคน ในพื้นที่ 330,000 ตารางกิโลเมตร นับว่ามีประชากรที่เบาบาง แต่มีดัชนีการพัฒนามนุษย์ ตามสถิติของสหประชาชาติ พ.ศ. 2549 อยู่ในลำดับที่ 11 ฟินแลนด์เคยเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดนหลายศตวรรษ หลังจากนั้นก็อยู่ภายใต้จักรวรรดิรัสเซียจนถึงปีพ.ศ. 2460 ปัจจุบันฟินแลนด์เป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย
ชื่อเรียกประเทศฟินแลนด์ในภาษาฟินแลนด์ คือ "ซัวมิ" (Suomi) สำหรับคำว่า "ฟินแลนด์" (Finland) นั้นเป็นภาษาสวีเดน ภาษาฟินแลนด์เป็นหนึ่งในภาษาราชการไม่กี่ภาษาของสหภาพยุโรป ที่ไม่ได้มีต้นกำเนิดเป็นกลุ่มภาษาอินโด-ยูโรเปียน ร่วมกับภาษาเอสโตเนีย ภาษาฮังการี และภาษามอลตา



    ฟินแลนด์มีประชากรประมาณ 5 ล้านคน และมีความหนาแน่นของประชากรอยู่ที่ราว 17 คนต่อตารางกิโลเมตร ประชากรของฟินแลนด์กระจุกตัวอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ ในจังหวัดอูซิมาซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงมีความหนาแน่น 30 คนต่อตารางกิโลเมตร (ในส่วนของตัวเมืองเฮลซิงกิมีความหนาแน่นถึงสามพันคนต่อตารางกิโลเมตร) ในขณะที่ทางตอนเหนือในเขตแลปแลนด์ มีประชากรเพียงสองคนต่อตารางกิโลเมตรเท่านั้น เมืองใหญ่อื่นๆนอกจากในเขตมหานครเฮลซิงกิ (ซึ่งรวมถึงเมืองวันตาและเอสโป) ได้แก่ตัมเปเร ตุรกุ และโอวลุ
    ภาษา ร้อยละ 92 ของประชากรฟินแลนด์พูดภาษาฟินแลนด์เป็นภาษาแม่ รองลงมาคือภาษาสวีเดน (ร้อยละ 5.5)ซึ่งสองภาษานี้เป็นภาษาทางการของประเทศ ภาษาอื่นที่มีการพูดการในฟินแลนด์ได้แก่ภาษารัสเซีย และภาษากลุ่มซามิ ภาษาและวัฒนธรรมของชาวซามิ ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในเขตแลปแลนด์ ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย
    ชาวฟินแลนด์ประมาณร้อยละ 83 นับถือศาสนาคริสต์นิกายลูเธอรัน และมีส่วนหนึ่ง (ร้อยละ 1.1) นับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกส์ สองนิกายนี้เป็นศาสนาประจำชาติของฟินแลนด์ นอกจากนี้ ศาสนาอื่นๆที่มีนับถือในฟินแลนด์ได้แก่นิกายโปรเตสแทนท์อื่นๆ คาทอลิก อิสลาม และยูดาย นอกเหนือจากประชากรร้อยละ 14.7 ที่ไม่นับถือศาสนาใดๆ อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา (เช่นการเข้าโบสถ์) นั้นน้อยกว่าที่เป็นตามตัวเลขนี้พอสมควร ชาวฟินแลนด์ส่วนใหญ่จะเคยเข้าโบสถ์น้อยครั้งมาก ส่วนใหญ่จะเป็นงานพิธีต่างๆเช่นการแต่งงาน
   การศึกษาระบบการศึกษาของฟินแลนด์ให้ความสำคัญกับความเสมอภาค โดยไม่มีการเก็บค่าเล่าเรียนสำหรับนักเรียนเต็มเวลา ฟินแลนด์มีการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี ตั้งแต่อายุ 7-16 ปี โรงเรียนทุกแห่งจะมีอาหารกลางวันบริการฟรี การเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายไม่บังคับ โดยมีทั้งการเรียนเตรียมอุดมศึกษาสายสามัญ และอาชีวศึกษา และในระดับอุดมศึกษาก็จะมีทั้งมหาวิทยาลัยและโรงเรียนอาชีวศึกษาขั้นสูง จากโครงการเพื่อประเมินศักยภาพเด็กนักเรียนสากลขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ประจำปี พ.ศ. 2549 นักเรียนอายุ 15 ปีของฟินแลนด์นั้นทำคะแนนสูงสุดในด้านความสามารถในด้านวิทยาศาสตร์ เวิลด์อิโคโนมิกฟอรัมจัดอันดับการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้เป็นอันดับหนึ่งของโลก ประชากรที่อายุเกิน 15 ปีมีความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ 100 เปอร์เซ็นต์



เที่ยวประเทศนอร์เวย์

ประเทศนอร์เวย์ มีชื่อทางการว่าราชอาณาจักรนอร์เวย์ (บุ๊กมอล: Kongeriket Norge; นีนอสก์: Kongeriket Noreg) เป็นประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ตั้งอยู่ในยุโรปเหนือ ส่วนตะวันตกของคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย มีอาณาเขตจรดประเทศสวีเดน ฟินแลนด์ และรัสเซีย และมีอาณาเขตทางทะเลจรดมหาสมุทรแอตแลนติก ใกล้กับประเทศเดนมาร์กและสหราชอาณาจักร นอร์เวย์เป็นประเทศที่มีชายฝั่งยาวและเป็นที่ตั้งของฟยอร์ดที่มีชื่อเสียง


ดินแดนหมู่เกาะที่อยู่ใกล้เคียง ได้แก่ สฟาลบาร์ และยานไมเอน ต่างก็อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของนอร์เวย์และถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักร ในขณะที่เกาะบูเวตในมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ และเกาะปีเตอร์ที่ 1 ในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้นั้น มีฐานะเป็นอาณานิคมของนอร์เวย์เท่านั้น ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักร นอกจากนี้ นอร์เวย์ยังอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนดรอนนิงมอดแลนด์ในทวีปแอนตาร์กติกา ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีวิจัยอีกด้วย

MV

ที่ตั้งกระทรวงต่างประเทศ

กระทรวงการต่างประเทศ มีสำนักงานตั้งอยู่ที่พระราชวังสราญรมย์ ถนนสนามไชย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2418 จนถึงปี พ.ศ. 2535 ต่อจากนั้นจึงได้ย้ายที่ทำการมายังเลขที่ 443 ถนนศรีอยุธยา เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ในบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งสำนักงาน องค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEATO ซีโต้ หรือ สปอ.) นอกจากนั้นยังมีอาคารสำนักงานในสังกัด คือ กรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ และสำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว 12 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทั่วประเทศ